Powered By Blogger

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การเลี้ยงสุนัข

สวัสดีครับ วันนี้ผมมีเรื่องการเลี้ยงสุนัขมาฝาก สำหรับใครที่คิดจะอยากเลี้ยงสุนัข ต้องมาดูกันก่อนครับว่ามันมีอะไรบ้างที่เราควรจะรู้

      ก่อนที่เราจะเลี้ยงก็ต้องคิดก่อนว่าสามารถจะดูแลเขาได้มั้ย สามารถให้เวลาเขาได้รึป่าว เพราะสุนัขก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการความดูแลเอาใจใส่เหมือนเรานั้นแหละ นอกจากความพร้อมของตัวเองแล้วยังต้องดูเรื่องสถานที่หรือบ้านเรานั่นเองว่ามีพื้นที่ให้เขาวิ่งมั้ย และก็ยังสามารถบอกเราได้ด้วยว่าควรจะเลี้ยงหมาประเภทไหนเช่น  ถ้าบ้านมีสวนมีพื้นที่มากก็จะสามารถเลี้ยงได้หลากหลายกว่าอย่างสุนัขที่มีขนาดใหญ่และขนาดเล็ก แต่ถ้าบ้านมีพื้นที่น้อยเช่น ทาวน์เฮ้าส์ ก็จะมีข้อจำกัดในการเลี้ยงมากกว่า คือควรจะเลี้ยงสุนัขที่มีขนาดเล็ก หรือหากจะเลี้ยงขนาดใหญ่ก็ต้องมีการพาออกไปเดินเล่นบ้างแล้วเราก็ต้องศึกษานิสัยของสุนัขที่จะเลี้ยงก่อนว่าชอบอะไรมีนิสัยอย่างไร อาจจะหาข้อมูลหรือเอาหนังสือมาอ่าน ทำให้เราสามารถเลี้ยงสุนัขได้อย่างเข้าใจ


ต่อมาถ้าซื้อมาเลี้ยงแล้วอย่างแรกที่เราต้องรู้เลยก็คือการให้อาหาร การให้อาหารสุนัขก็ต้องให้อาหารสุนัขให้ถูกประเภทของเขาด้วย ถ้าเป็นลูกสุนัขก็ควรจะเป็นอาหารเม็ดสำหรับลูกสุนัขที่ขายตามห้างสรรพสินค้า หรือ นม แต่ถ้าลูกสุนัขยังเคี้ยวไม่ค่อยได้ส่วนใหญ่จะนำอาหารเม็ดไปผสมกับน้ำหรือนมเพื่อให้เคี้ยวง่ายขึ้น และก็ไม่ให้น้องหมากินแล้วติดคอด้วย ส่วนสุนัขโต ก็จะให้อาหารปกติ คือ อาหารเม็ด ข้าวคลุกเนื้อไก่หรือตับ ทั่วไป หรืออาจจะมากกว่านั้น แต่ที่สำคัญจะให้อะไรก็คำนึงถึงสุขภาพของเขาด้วย ส่วนใหญ่แล้วลูกสุนัขเราจะให้อาหารเป็นมื้อย่อยๆสี่มื้อ สุนัขใหญ่จะให้อาหารมื้อใหญ่หนึ่งมื้อต่อวัน และก็อาจจะจะมีขนมอร่อยๆให้เป็นรางวัลบ้างก็ตามสบายแต่!!ไม่ควรให้อาหารสุนัขชนิดต่อไปนี้ช็อกโกแลต  กระดูก ตับ(ในปริมาณมาก) ผลไม้และผักบางชนิด  เจ้าของเคยเลี้ยงสุนัขแล้วให้ตับเป็นอาหารพอนานไปสุนัขตัวนั้นก็เป็นเนื้องอก เพราะตับที่ให้นั้นไหม้ จนเกิดการสะสม ต้องรับการรักษาโดยการผ่าตัด เสียค่ารักษาครั้งนั้นไป 7,000บาท เพราะฉะนั้นเรื่องอาหารก็ควรใส่ใจให้มากๆเลยทีเดียว


เจ้านิกกี้กำลังคาบอาหาร

ต่อมาก็คือการขับถ่าย กินแล้วก็ต้องถ่าย จะทำยังไงให้สุนุขไม่ถ่ายเรี่ยราด ก็ต้องฝึกให้มันเคยชิน
ช่วงแรกๆเป็นช่วงที่ฝึกง่ายที่สุด โดยเฉพาะถ้าเอาลูกสุนัขมาเลี้ยง ควรจะฝึกนิสัยให้ขับถ่ายเป็นที่ อาจจะทำให้เคยชินกับสถานที่ทำธุระของเขา  ให้ถ่ายในจุดเดิมๆซ้ำๆแล้วเขาก็จะจำได้เอง แต่สุนัขที่มีอายุมากหน่อยก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ฝึกได้เหมือนกันแต่อาจจะนานกว่าลูกสุนัขนิดนึง

ที่สุนัขขับถ่ายปวดเมื่อไหร่ก็วิ่งมา


การอาบน้ำ

การอาบน้ำสุนัข ในบ้านเราอาจจะอาบได้ถี่กว่าต่างประเทศเพราะอากาศร้อน  อย่างน้อยอาทิตย์
ล่ะหนึ่งครั้ง หรือขึ้นอยู่กับสุนัขของเราว่ามันมอมแมมมากแค่ไหน แต่ห้ามอาบน้ำถี่เกินไป หลีกเลี่ยง
การอาบน้ำในตอนกลางคืนและในช่วงที่อากาศเย็น เพราะเดี๋ยวจะทำให้น้องหมาปอดบวมเอา
วิธีการอาบน้ำ ต้องระวังอย่าให้น้ำหรือแชมพูเข้าตาหรือเข้าหูน้องหมา ต้องให้สำลีอุดหูก่อนอาบ  การใช้แชมพูราดบนตัวสุนัขโดยตรงก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีนัก เพราะแชมพูแต่ละยี่ห้ออาจจะมีสารเคมีที่สามารถทำลายผิวได้  ควรจะนำแชมพูผสมน้ำก่อนอาบ  การล้างแชมพูออกให้หมดก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะผิวหนังน้องหมานั้นบอบบางโดยเฉพาะพันธุ์เล็กๆ และหลังจากอาบเสร็จก็ต้องรีบเช็ดตัวให้แห้ง เป่าขน แปรงขนให้สวยงาม

อุปกรณ์อาบน้ำ




หมาแห้วหลังอาบเสร็จใหม่ๆ




















หมาแห้วตัวแห้งแล้วยิ้มเลย
























การพาสุนัขไปหาหมอ



สุนัขก็มีโรคร้ายแรงเหมือนกับคนเรานี่แหละ มีทั้งรักษาได้และไม่ได้ บางโรคก็สามารถติดต่อไปถึงคน

ได้  จะดีกว่าถ้าสุนัขของเราจะไม่มีโรค การหาหมอไปฉีดวัคซีนตั้งแต่เล็กๆก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้

น้องหมามีสุขภาพดี คุณหมอก็จะมีบัตรตารางการฉีดวัคซีนและการนัดหมายให้ รวมทั้งตรวจสุขภาพ

เรื่อยๆ และถ้ามีอุบัติเหตุกับน้องหมาก็ควรจะส่งหมอทันทีเพราะสุนัขบอบบางกว่าคนมีความอดทนที่

น้อยกว่า ช้านิดเดียวก็อาจจะเสียเพื่อนที่น่ารักของเราไปก็ได้ เพราะฉะนั้นตั้งใจฟังคำสั่งของคุณหมอ

ด้วยนะ



ใบรับรองการฉีดวัคซีนสุนัข



อื่นๆ


สุนัขต้องการการออกกำลังอยู่เสมอ อย่างน้อยก็ควรพาออกไปเดินเล่นหรือวิ่งนอกบ้าน  เล่นโยน

ลูกบอล นอกจากจะให้มันออกกำลังกายแล้ว ยังเป็นการสร้างสุขภาพจิตที่ดีด้วย เพราะถ้าสุนัขโดน

กักขังนานๆหรือบ่อยๆมากๆจะทำให้มีนิสัยก้าวร้าว และ ดุร้ายตามที่เป็นข่าวกันบ่อยๆ

หากสุนัขทำผิดควรจะลงโทษพอสมควรอย่าหนักเกินไป แต่ก็อย่าเบาเกินไป ควรจะให้เขารับรู้ว่าสิ่งนั้น

เป็นสี่งที่ไม่ควร ถ้าแรงเกินไปก็อาจจะทำให้ก้าวร้าวได้เหมือนกัน การฝึกสุนัขให้ทำตามคำสั่ง จะฝึกได้ 
    
ง่ายในช่วงเล็กๆ เหมือนการฝึกให้ขับถ่ายคือทำซ้ำๆในเขาจำ และอย่าลืมตอบแทนโดยการให้ขนมเล็ก

น้อยเป็นรางวัลด้วย

นิกกี้แลบลิ้น
ตัวนี้ชื่อแห้ว อายุ7ขวบ


หวังว่าเพื่อนๆคงได้ความรู้ไม่มากก็น้อยจากที่นี่ ต้องขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจากคุณโม ที่มาแบ่งปันความรู้ให้  ขอให้มีความสุขกับการเลี้ยงสุนัขครับ สวัสดี:D




บ๊ายบายยย

:D The Moffats

สวัสดีครับ หายไปนานเลยสบายดีกันบ้างรึเปล่า :D วันนี้ผมได้ฟังเพลงเพลงนึงซึ่งผมเคยได้ยินตอนเด็กๆ และก็คิดว่ามันเพราะมาก ฟังสบายๆ เลยอยากนำมาแชร์กัน  เพลงนี้มีชื่อว่า
Miss you like crazy ของวง The moffats  เพลงนี้เป็นเพลงที่เก่ามาก ตั้งแต่ปี 1999 หลายๆคนคงอาจจะคุ้นๆหูอยู่้บ้าง และอาจเป็นเพลงโปรดของใครหลายๆคนก็ได้ครับ



เนื้อเพลงครับ


I used to call you my girl

I used to call you my friend

I used to call you the loveThe  love that I never had
When I think of you

I don’t know what to do

When will I see you again

I miss you like crazy
Even more than words can say
 I miss you like crazy 

Every minute of every day

Girl I’m so down

 when your love’s not around

I miss you ,miss you , miss you

I miss you like crazy

You are all that I want

You are all that I need
Can’ t you see how I feel
Can’t you see that my pain’s so real

When I think of you

I don’t know what to do

When will I see you again

{ chorus }


ประวัติ The moffatts




วงดนตรีที่ประกอบด้วย 4 หนุ่มจากเมืองวิคตอเรีย รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศคานาดาวงนี้เป็นพี่น้องกันทั้งหมด คนที่อายุมากที่สุดคือ สก็อต ส่วนอีก 3 คนเป็นแฝด สามคือ คลินท์ เดฟ และ บ็อบ ตามลำดับ Moffatts เป็นลูกชายของนักร้องอาชีพ    The Moffatts    มักถูกนำไปเปรียบเทียบกับ Hanson ซึ่งเป็นวงพี่น้องจากอเมริกา แต่สี่หนุ่มพี่น้องตระกูลม็อฟแฟ็ตทำเพลงมานานกว่าสามหนุ่มตระกูลแฮนสัน (เพราะเริ่มตั้งแต่สมาชิกวงอายุเพียง 3-4 ปี) ดังนั้น จึงมีกล่าวว่าวง Hanson ได้แรงบันดาลใจจาก The Moffatts         เส้นทางสู่การเป็นเป็นศิลปินของพี่น้องตระกูลม็อฟแฟ็ตเริ่มต้นขึ้นในปี 1990 ขณะนั้น สก็อตเพิ่งอายุได้ 7 ปี และแฝดสามอายุ6 ปี เริ่มแรก The Moffatts เป็นวงคันทรี่ที่แสดงสดตามเทศกาลต่าง ๆ ในท้องถิ่น ประสบการณ์ทางดนตรีอย่างแรกของ The Moffatts คือการบันทึกเสียงเพลงคันทรี่ชื่อเพลง Grandpa ของวินอนน่า จัดด์ (พี่สาวดาราดัง แอชลี่ย์ จัดด์) เพื่อมอบเป็นของขวัญวันคริสต์มาสให้ปู่ หลังจากนั้น เด็ก ๆ ทั้งสี่ก็เริ่มคิดจะเข้าวงการเพลง ต่อมาพวกเขาจึงขออนุญาตพ่อ (แฟรงค์ ม็อฟแฟ็ต)ให้พวกเขาไปเล่นดนตรีที่ท่าเรือเฟอร์รี่ที่วิคตอเรียเพื่อหาเงินไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์    ต่อมาพ่อกับแม่เลี้ยงก็พาสี่พี่น้องม็อฟแฟ็ตย้ายไปอยู่เมืองแนชวิลล์ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1994 และ The Moffattsก็ได้เซ็นสัญญากับสังกัดเอแอนด์เอ็ม นับเป็นศิลปินคันทรี่ที่เด็กที่สุดที่ได้เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ ต่อจากนั้น สก็อต, คลินต์, เดฟ และบ็อบจึงต้องเรียนกวดวิชาที่บ้านแทนการเข้าเรียนตามปกติ   1 ปีหลังจากเซ็นสัญญา The Moffatts ออกอัลบั้มชุดแรกซึ่ง อัลบั้มดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จนัก แต่ The Moffattsก็โด่งดังจากท่าเต้นหนอนคลาน      


ในปี 1998 The Moffatts นำซิงเกิ้ลเพลง I'll Be There ออกขายเป็นเพลงแรกซิงเกิ้ล  ซึ่งพี่น้องตระกูลเบอร์แมน ( Hanson) ร่วมแต่งและ ต่อมา The Moffatts ก็ออกซิงเกิ้ลที่ 2 คือ Miss You Like Crazy ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงในเอเชีย โดยขึ้นถึงอันดับ 1 ในหลายประเทศ    

  

หลังซิงเกิ้ลประสบความสำเร็จ The Moffatts ก็ออกอัลบั้มป๊อปชุดแรกในวันที่ 1 มิถุนายน 1999ชื่อว่า Chapter One: A New Beginning ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงเช่นเดียวกับซิงเกิ้ล ทำยอดขายได้กว่า 2 ล้านชุดทั่วโลก เพราะได้รับความนิยมจากแฟนเพลงทั้งในยุโรป ตะวันออกกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกาและคานาดาคว้ารางวัลแผ่นเสียงทองคำกับแผ่นเสียงทองคำขาวมาได้มากมาย ส่วนหนึ่งเพราะฝีมือการโปรดิวซ์ของเกลน บัลลาร์ด         


 ปี 2000 The Moffatts กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้มชื่อว่า Submodalities แนวเพลงในอัลบั้มนี้เปลี่ยนไปจาก Chapter One: A New Beginning พอสมควร มีเพียงเพลงช้าอย่าง Always In My Heart กับ Who Do You Loveเท่านั้นที่ยังคงแนวเพลงเดิมไว้ส่วนเพลงอื่นในชุดนี้อีก 10 เพลง (และเพลงที่ซ่อนไว้อีก 2 เพลง) กลับฟังดูเข้มขึ้นตามแนวที่ผสมผสานระหว่างอัลเทอร์เนทีฟ ป๊อป และร็อค ในฐานะศิลปิน "ตัวจริง" อย่าง The Moffatts ประสบความสำเร็จด้วยผลงานเพลง ไม่ใช่หน้าตาและเพลงรักหวาน ๆ อีกต่อไป






หวังว่าเพื่อนๆคงชอบกันนะครับ  วันนี้ต้องไปก่อนละคร๊าบบ บ๊ายบายย ^^



วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

free time


สวัสดีครับ วันนี้ว่างๆเลยมาอัพบล๊อก เวลาว่างๆไม่รู้จะทำอะไร เพื่อนๆชอบทำอะไรกัน?  ส่วนตัวผมไม่เล่นคอม ก็ไปออกกำลังกาย แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงการออกกำลังกายกันครับ

การออกกำลังกายนั้นเป็นสิ่งที่ดีใครๆก็รู้ แต่ไม่ใช่ใครๆก็ทำ ตัวผมนั้นรู้จักการออกกำลังกายโดยการเล่นเวท หรือยกลูกน้ำหนักตั้งแต่อยู่มัธยมต้นแล้ว และก็ออกกำลังกายเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน อาจจะมีหยุดไปบ้างบางช่วงแต่ไม่นานก็กลับมาเล่นอีก เพื่อนบางคนมีความคิดที่ผิดๆคือเห็นผู้ชายที่เล่นกล้ามแบบนี้แล้วบอกว่า "เป็นเกย์หรือเปล่าวะ" ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจ จะออกกำลังกายทั้งทีทำไมต้องเป็นเกย์ 555
จริงๆแล้วก็คือในฟิสเนสนั้นมีบุคคลจำพวกนี้อยู่เยอะ คนเลยมักคิดไปว่าต้องเป็นเกย์ถึงจะไปเล่้นกล้าม จแต่ที่จริงแล้วผมนั้นก็แค่อยากออกกำลังกายเท่านั้นเอง:D


อุปกรณ์ที่ใช้ออกกำลังกาย
และนี้คืออุปกรณ์ในการออกกำลังกายของผม ผมซื้อมันมาในราคาพันกว่าบาทเมื่อนานมาแล้ว ใช้ยังไงก็ไม่พังซักที 555 คุ้มครับ มีชิ้นเดียวผมก็เล่นแบบงบน้อยๆเนี่ยแหละ เล่นหลายๆแบบมันก็ได้ผลเหมือนกัน

กินนมกันเป็นถังเลยทีเดียว

การเล่นกล้ามนั้นมันก็ต้องมีอาหารที่ดีและมีประโยชน์ ไม่ใช่เล่นแล้วไปกินเป๊ปซี่ มาม่า มันก็เสียเปล่า และนี่คืออาหารง่ายๆที่ผมซื้อมากินเป็นประจำ บางทีก็กินแทนน้ำเลย ถือว่าเป็นน้ำที่แพงใช่เล่นเลยนะเนี่ย ถังละ84บาท 2ลิตร
เวย์โปรตีน
ส่วนอันนี้เป็นอาหารเสริมครับ มันคือโปรตีนสกัด วิธีกินก็ัตักใส่กระป๋องแล้วเทนน้ำใ่ส่ จากนั้นก็เขย่าๆๆ แล้วก็ดื่ม เห็นว่ากินแล้วมันได้โปรตีนเยอะดี โปรตีนเป็นสารอาหารหลักในการซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ผมก็เลยจัดมา1ชุด 800บาท หาเรื่องเสียเงินอีกแล้ว



ข้อมูลโภชนาการ
เขาบอกว่ากิน2ช้อน(ช้อนละ16กรัม)จะได้โปรตีน23กรัมใครนึกไม่ออกว่าโปรตีน23กรัมมันเท่าไหร่ ก็ประมาณไข่ไก่4ฟอง โ้อ้ววว 

ข้างในมันเป็นแบบนี้




ชงเสร็จ
อันนี้ชงเสร็จแล้ว หน้าตามันจะเป็นแบบนี้ กลิ่นช๊อคโกแล๊ตหอมหวน แต่รสชาตินั้นเฝื่อนๆไม่เหมืิอนกลิ่นเล้ยย เอาไว้กินหลังออกกำลังกายทันที เพื่อจะทำให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนได้ดี



เมื่อไหร่จะใหญ่ซักทีนะกล้าม

สุดท้ายครับผมขอฝากไว้ว่าการออกกำลังกายอย่างพอเหมาะเป็นประจำนั้น จะทำให้ร่างกายเราแข็งแรง และพร้อมกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด อย่างเช่นโดนสั่งลุกนั่งเป็นร้อย โอ้ววบ้าไปแล้ว!! ตื่นมาอีกวันก็ปวดขากันเป็นแถว แต่ถ้าร่างกายเราพร้อม มันก็จะไม่เกิดอาการบาดเจ็บนั่นเอง สุขภาพดีมีเงินพันล้านก็ซื้อไม่ได้หรอกครับ ถ้าไม่ลงมือทำ  วันนี้ลาไปก่อนครับทุกคนน :D


เครดิตรูป http://hilight.kapook.com/view/24058






วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ไปเรียนหนังสือ:D

สวัสดีครับ วันนี้ตื่นเช้าหน่อยเพราะจะ้ต้องไปเรียน พูดถึงการเดินทางไปเรียนแล้ว เพื่อนๆแต่ละคนก็คงจะมีวิธีการแตกต่างกันออกไป บางคนไป BTS MRT หรือนั่งรถเมล์ หรืออาจจะขับรถมาเอง  ส่วนผมนั่นก็ไปกับสองล้อคู่ใจนั้่นเอง ผมเป็นคนไม่ชอบไปยืนรอคิวBTS ยืนอัดกันเป็นปลากระป๋อง ผมเลยเลือกที่จะขี่มอเตอร์ไซต์ไปเรียน มันก็สนุกไปอีกแบบทำให้การเดินทางไม่น่าเบื่อ   วันนี้นึกคะนองอยากจะขี่รถไปถ่ายรูปไป ดูซิว่าจะเป็นยังไง




ตื่นมาพึ่งสังเกตุว่าน้ำมันใกล้หมดแล้ว



ขี่ไปเติมน้ำมันซะหน่อย

ถึงปั้มแล้ว  พี่ๆโซฮอล95 100บาท






จัดไปไอ้น้อง



เติมเสร็จแล้วก็ลุยกันเลย