Powered By Blogger

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558

My Food My Lifestyle

    สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน วันนี้เรื่องที่ผมจะเขียนเป็นเรื่องเกี่ยวกับประเภทอาหารที่ผมทานเป็นประจำในทุกวัน ซึ่งประเภทอาหารดังกล่าวก็คือ อาหารที่ให้โปรตีนสูง ไขมันต่ำ เนื่องจากว่าตัวผมออกกำลังกายแบบสร้างกล้ามเนื้อ "เวทเทรนนิ่ง" และการออกกำลังกายประเภทนี้จะทำให้กล้ามเนื้อสึกหรอ การสึกหรอในที่นี้มีผลมาจากเซลล์กล้ามเนื้อได้รับการยกน้ำหนักที่หนักมากๆ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ร่างกายจึงต้องการสารอาหารที่ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ตามที่่เราเคยได้เรียนมาตั้งแต่เด็กๆ นั้นก็คือ "โปรตีน"

    ในทุกๆ วันผมต้องตื่นขึ้นมาทำอาหารทานเองสองมื้อคือ มื้อเช้า และมื้อเที่ยง ถ้าวันไหนตอนเที่ยงต้องออกไปเรียนหรือไปข้างนอก ก็จะทำแล้วใส่กล่องนำไปทานด้วย ส่วนอาหารที่ผมทำนั้นก็เป็นเมนูที่ทำง่ายมากๆ และเป็นอาหารที่มีไขมันน้อย หรือที่เรียกกันว่าอาหารคลีน เพราะเมนูที่ผมทำก็คือ อกไก่ลอกหนังต้ม ทานกับข้าวกล้องที่หุงในทุกเช้า โดยไม่มีการปรุงรสใดๆ ตอนต้มไก่เลย ถึงแม้รสชาติมันจะจืดชืด แต่มันก็มีประโยชน์และดีต่อสุขภาพของตัวเองในระยะยาวด้วยครับ

อกไก่กิโลละ 68 บาท เท่านั้น

    นี่คือแหล่งที่ผมไปซื้ออกไก่เป็นประจำครับ ที่นี่คือห้างเทสโก้โลตัส ผมมาห้างแห่งนี้วันเว้นวัน เนืื่องจากอกไก่ที่ซื้อจากทีนี่จะเก็บได้เพียง 2 วัน เท่านั้น ถ้าซื้อไปตุนไว้ในตู้เย็นก็จะเสียแล้วก็ทานไม่ได้ต้องทิ้งสถานเดียว ที่จริงแถวบ้านของผมมีตลาดสด แต่ผมไม่ค่อยชอบซื้อเนื้อสัตว์จากตลาดด้วยเหตุผลสองข้อครับ ข้อแรกคือราคาแพงกว่าห้าง ข้อที่สองคือเนื้อที่ซื้อมามักจะมีกลิ่นเหม็นและไม่ค่อยได้คุณภาพ ผมจึงเลือกซื้อในห้างที่ห่างออกไปจากบ้านผมประมาน 2 กิโลเมตร อีกข้อดีของการซื้อของในห้างแห่งนี้คือ ได้สะสมแต้มลงบัตรสมาชิกครับ ซึ่งในตลาดสดคงไม่มีอะไรแบบนี้แน่นอน โดยแต่ละครั้งที่ผมมาซื้ออกไก่ ก็จะซื้อแค่ 1 กิโลกรัม เท่านั้น และในหนึ่งวันผมจะนำอกไก่ 5 ขีด ออกมาทำอาหารได้ 2 มื้อ เท่ากับว่าสองวันไก่จะหมดพอดี


วันนี้ซื้อแค่ 8 ขีด 58.5 บาท 

    แต่ผมไม่ได้ทานไก่อย่างเดียวในทุกๆ วันนะครับ ยังมีอาหารที่โปรตีนสูงชนิดอื่นที่ผมเลือกทานได้อีกหลายอย่าง อย่างแรกคือ ทูน่ากระป๋อง ทูน่ากระป๋องเป็นอาหารที่ทานสะดวกและมีคุณค่าทางสารอาหารสูงมาก ทูน่าที่ผมเลือกทานจะเป็นทูน่าในน้ำเกลือ หรือในน้ำแร่เท่านั้น เพราะต้องการหลีกเลี่ยงไขมันให้ได้มากที่สุดครับ ส่วนยี่ห้อที่ผมเลือกก็คือ อะไรก็ได้แต่เน้นถูกไว้ก่อนครับ ยี่ห้อไหนมีโปรโมชั่นก็เอาอันนั้น ในความคิดผม อาหารกระป๋องประเภทนี้จะไม่ค่อยต่างกันซักเท่าไหร่ อันไหนก็เหมือนกันครับ

ทูน่ากระป๋องหลากหลายยี่ห้อ

ทูน่าในน้ำเกลือ 

    อาหารโปรตีนสูงอีกประเภทที่ทานสะดวกและเชื่อว่าทุกบ้านต้องมีอยู่ในตู้เย็นแน่นอนเลยก็คือ นมวัว นมเป็นสิ่งที่เราทานกันมาตั้งแต่เด็ก และเป็นอาหารที่มีประโยชน์มาก หาซื้อได้ง่าย นมวัวมีหลายยี่ห้อและหลายสูตรมากครับ ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็จะมีรสชาติแตกต่างกันเล็กน้อย ส่วนสูตรของนมจะมีให้เลือกสามอย่างหลักๆ เลยก็คือ นมธรรมดา นมไขมันต่ำ และนมไขมัน 0 % สูตรที่ผมเลือกก็จะเป็น นมธรรมดา เนื่องจากว่านมชนิดนี้จะมีสารอาหารที่มีประโยชน์อยู่ครบถ้วนครับ ต่างจากสูตรที่พร่องมันเนยหรือไขมันต่ำ ที่จะเอาสารอาหารสำคัญๆ ออกไปเพื่อทีี่จะให้มีไขมันน้อย และรสชาติของนมปกติจะอร่อยกว่าแบบไขมัน 0% เพราะมีความหอมมันของนมวัวอยู่ แต่สูตรไม่มีไขมันจะเหมือนทานน้ำเปล่ากลิ่นนมครับ


นมที่ผมทานจะเป็นยี่ห้อเมจิฝาสีน้ำเงินเท่านั้นครับ ความชอบส่วนตัว





    อาหารโปรตีนสูงประเภทสุดท้ายที่ผมทานประจำคงจะเรียกว่าเป็นอาหารหลักไม่ได้ครับ เพราะมันคืออาหารเสริม เวย์โปรตีน หรือโปรตีนผงละลายน้ำครับ เวย์โปรตีนจะไม่มีขายตามท้องตลาดทั่วไปเหมือนอาหารประเภทที่ผมได้กล่าวไปข้างต้น เวย์โปรตีนจะเป็นอาหารเสริมของคนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น และส่วนมากจะมีราคาสูง แลกกับความสะดวกและปริมาณโปรตีนที่สูงมากๆ สูงกว่าทุกอย่างที่กล่าวมาเลยล่ะ 


เวย์โปรตีน ขนาด 2.6 กิโลกรัม ราคา 2099 บาท


รสชาติและยี่ห้อของเวย์โปรตีนจะมีหลากหลายมาก มากจนกล่าวไม่หมดในบทความนี้ ซึ่งจุดเด่น ของเวย์โปรตีนที่มีราคาแสนจะแพงนี้ก็คือ การดูดซึมเข้าร่างกาย เวย์โปรตีนมีการดูดซึมหรือการย่อยหลังทานที่เร็วมาก เช่น ทานไป 1 แก้ว 2 ช้อนตวง (60 กรัม) 10 นาทีเราก็รู้สึกหิวแล้ว แต่โปรตีนที่เราได้รับจากที่ทานไป เทียบเท่ากับนมวัว 1 ลิตร เลยทีเดียว การทานเวย์โปรตีนก็ง่ายๆ แค่ตักผงใส่กระบอกน้ำ เทน้ำใส่ เขย่าให้เข้ากัน แล้วทานได้เลยครับ สะดวกและรวดเร็ว


ตารางข้อมูลโภชนาการของเวย์โปรตีน จะเห็นว่าให้โปรตีนสูงมากๆ

ทานง่ายแค่ผสมน้ำเปล่า


    การเลือกทานอาหารของผมอาจจะแปลกแตกต่างไปจากคนทั่วไป และมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก อีกทั้งรสชาติอาหารยังขาดความหลากหลาย ซึ่งในแต่ละคนก็อาจจะมีความชอบที่จะเลือกทานอาหารแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่สำคัญที่ผู้เขียนอยากจะบอกกับผู้อ่านทุกท่านก็คือ ควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ สะอาด ครบห้าหมู่ ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่างน้อยสามมื้อต่อวัน และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพแข็งแรง มีชีวิตที่ดีและมีความสุข อย่าลืมใส่ใจเรื่องอาหารและสุขภาพตั้งแต่วันนี้ เพื่อตัวเราเองและคนที่เรารักนะครับ สวัสดีครับ










วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558

Cornflakes Blueberrymilk With Banana

     สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน  วันนี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยความหิวในตอนสายๆ และอยากจะหาอะไรทานให้เร็วที่สุด ที่สำคัญรสชาติต้องดี มีประโยชน์ แต่ก็ขี้เกียจออกจากบ้านไปซื้อกับข้าวหรือไปนั่งกินที่ร้าน บวกกับแสงแดดที่ร้อนจนแสบผิวไปหมด ทำให้ผมไม่อยากออกไปซื้อของกินข้างนอก ผมจึงหาของในบ้านทานมันนี่แหละ ด้วยความขี้เกียจบวกกับอาหารที่มีจำกัดอยู่ในบ้าน จึงกลายมาเป็นเมนูนี้

เมนูที่ว่านี้มันมีส่วนประกอบอยู่ 3 อย่าง คือ 

1. Corn Flakes (ซีเรียลอาหารเช้านั่นแหละ)


2. นมเปรี้ยวดัชมิลล์รสบลูเบอรี่

3. กล้วยหอม



     โดยปกติแล้วซีเรียลอาหารเช้าที่ผมทานก็มักจะใส่กับนมจืด นมหวาน หรือนมถั่วเหลือง แต่วันนี้ในตู้เย็นมีแค่นมเปรี้่ยวขวดนี้ ก็เลยต้องเอามาใส่กับซีเรียล เพราะมันไม่มีอะไรจะใส่แล้ว จะกินกับน้ำเปล่าก็คงไม่ใช่ จะกินแห้งๆ ยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่ ว่าแล้วก็จัดการเทซีเรียลใส่ชามและตามด้วยนมเปรี้ยว 



































     ซึ่งผมเป็นคนที่กินเยอะอยู่แล้วในแต่ละมื้อ เพราะผมเป็นคนที่ออกกำลังกายหนักมาก จำเป็นต้องทานอาหารให้คงสภาพน้ำหนักตัวไม่ให้ลดลง ถ้าทานอาหารน้อยไป จะกลายเป็นคนผอมและไม่มีแรง เลยคิดว่าแค่ซีเรียลใส่นมคงไม่อยู่ท้องแน่ๆ ว่าแล้วก็เพิ่มกล้วยหอม 1 ผล ใส่ไปด้วย เตรียมอาหารทุกอย่างเสร็จพร้อมทาน ใช้เวลาไปไม่มากนักถ้าไม่ต้องมาถ่ายรูปลงบล็อคนี้(ฮ่าๆ) ส่วนหน้าตาอาหารก็ออกมาใช้ได้เหมือนกัน ซีเรียลในนมเปรี้ยวรสบลูเบอรี่ใส่กล้วยหอม



















     หลังจากที่ได้ทานคำแรกก็รู้สึกถึงความไม่เข้ากัน อาจจะเพราะมันแปลกเนื่องจากปกติจะใส่นมจืด ครั้งนี้เป็นนมเปรี้ยวเลยอาจจะไม่คุ้น แต่ไม่ใช่ว่ารสชาติิแย่ไปซะทีเดียว ด้วยความเปรี้ยวของนม บวกกับความหวานของกล้วยหอมและความกรอบของซีเรียล มันก็ทานได้อร่อยดี  และจากที่ผมบอกในตอนต้นที่ว่าเป็นคนทานเยอะ ในครั้งนี้ผมทานไม่หมด เพราะความเลี่ยนของนมเปรี้ยว และกล้วยหอมที่แน่นท้องเอามากๆ เห็นชามแค่ในรูปอย่าคิดว่ามันน้อยนะครับ พอได้ทานจริงมันเยอะมากเลยแหละ เยอะจนตอบสนองความต้องการของผมได้แบบแน่นท้องเลย ทำให้อิ่มไปประมาณ 3 ชั่วโมง แถมยังมีประโยชน์อีกด้วย 

     สำหรับใครที่ทานซีเรียลแบบนี้บ่อยๆ ลองหาอะไรแปลกๆ เช่น ผลไม้ น้ำเต้าหู้ร้อนๆ มาใส่ลงไปบ้างก็ได้ บางทีเราอาจจะได้เมนูใหม่ๆ ที่สะดวกและทานง่ายในเวลาเร่งรีบ หรือวันที่ขี้เกียจ แต่ไม่รับประกันว่าจะท้องเสียหรือเปล่านะ อาจจะอร่อยปากแต่ลำบากกายในภายหลังก็ได้นะครับคุณผู้อ่าน ^^

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558

มหัศจรรย์ข้าวกล้อง

     พูดถึงข้าวกล้องคงจะไม่มีใครไม่รู้จักเป็นแน่ เพราะข้าวกล้องขึ้นชื่อเรื่องที่เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ สารอาหารและวิตามินที่อยู่ในข้าวกล้อง เช่น วิตามินบี1 วิตามินบี2 แคลเซียม แมกนีเซียม ล้วนมีสรรพคุณในการป้องกันโรคได้หลากหลายชนิด จึงทำให้คนที่รักสุขภาพหันมาทานข้าวกล้องกันมากขึ้น

     คุณวริยา สัมพันธ์แพ อายุ 22 ปี (นักศึกษามหาวิทยาลัย) เป็นบุคคลที่รับประทานข้าวกล้องมาเป็นเวลานาน และในครั้งนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมภาษณ์เรื่องราวเกี่ยวกับประโยชน์ของข้าวกล้อง และผลดีในการทานข้าวกล้องเป็นประจำของคุณวริยา ว่ามีผลเป็นอย่างไรบ้าง


Q:ทราบมาว่าทานข้าวกล้องเป็นประจำ ไม่ทราบว่าเริ่มทานได้อย่างไรและทานมานานแค่ไหนแล้ว?

A:เริ่มทานตั้งแต่อยู่มัธยมต้นค่ะ ประมาณอายุ 14 ปี เพราะว่าในช่วงนั้นคุณแม่เริ่มสุขภาพไม่ค่อย    แข็งแรง ที่มีผลมาจากการเดินทางทุกวัน ก็เลยหันมารักษาสุขภาพ แล้วจากสื่อต่างๆ ก็บอกว่าข้าวกล้องมีประโยชน์ คุณแม่เลยลองรับประทานดู และก็หุงให้คนในบ้านทานด้วย ตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆ ค่ะ แต่ตอนนี้ก็ทานจนชินไปแล้ว

Q:แล้วทานเป็นประจำทุกมื้อเลยหรือเปล่า เวลาที่ไม่ได้อยู่บ้านจะหาทานได้ยังไง?  

A:ใช่ค่ะ ทุกมื้อที่อยู่บ้านจะทานข้าวกล้องอย่างเดียวเลย ส่วนเวลาออกไปข้างนอก ก็มีบ้างครั้งนำข้าวใส่กล่องไปทาน แต่ถ้าวันไหนรีบก็ทานข้าวขาวตามร้านอาหารปกติได้ค่ะ


และนี่คือภาพตัวอย่างอาหารเมื่อทานอยู่ที่บ้าน

            
                                     
                         



Q:ประโยชน์ของข้าวกล้องมีอะไรบ้าง มันแตกต่างจากข้าวขาวธรรมดาอย่างไร?

A:แตกต่างกันค่ะ เพราะข้าวขาวจะเป็นข้าวที่ได้รับการขัดสีออกหมด ทำให้เหลือคุณค่าทางสารอาหารน้อยลง ข้าวขาวจะเหลือแต่คาร์โบไฮเดรตอย่างเดียว ส่วนข้าวกล้องเป็นข้าวที่ผ่านการขัดสีน้อยหรือไม่ขัดเลย ทำให้มีประโยชน์มากกว่า ทั้งวิตามินต่างๆ เกลือแร่ สารอาหารต่างๆ ยังอยู่ครบ ทำให้อิ่มง่าย ร่างกายได้รับสารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์ แล้วก็สามารถทานเป็นเมนูในช่วงลดน้ำหนักได้ด้วย


Q:ผลจากการทานข้าวกล้องต่อเนื่องมานานแบบนี้ สุขภาพของเราเปลี่ยนแปลงบ้างหรือเปล่า?

A:เปลี่ยนเยอะเลย สิ่งที่เปลี่ยนแปลงก็คือ รู้สึกสุขภาพดีขึ้น มีแรงมากขึ้น จากเมื่อก่อนที่เป็นเด็กผอมๆ แห้งๆ ไม่ค่อยมีแรง ขาดสารอาหาร ส่วนตอนนี้ก็ดูดีขึ้นมาก อาการนิ้วมือที่เป็นขุยๆ ตรงเล็บเพราะขาดสารอาหารก็หายไป ร่างกายเป็นระบบมากขึ้น ขับถ่ายคล่องไม่มีปัญหา น่าจะเป็นเพราะสารอาหารในข้าวกล้องที่ช่วยให้ดีขึ้น และจากผลดีตรงนี้ก็ยิ่งทำให้ตัวเราอยากดูแลตัวเองมากขึ้น เช่น ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่างๆ ออกกำลังกาย เพื่อที่จะมีสุขภาพที่ดีแบบนี้ตลอดไปค่ะ


Q:มีอะไรอยากบอกคนที่อยากจะเปลี่ยนมาทานข้าวกล้องไหม?

A:อยากให้ลองทานดูค่ะ ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น ช่วงนี้มีคนหันมารักสุขภาพกันมาก การทานข้าวกล้องน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยได้ นอกจากข้าวกล้องแบบธรรมดาแล้ว ยังมีข้าวที่มีประโยชน์อีกหลายประเภทให้ได้ลองทานกัน เช่น ข้าวกล้องงอก ข้าวหอมนิล ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวกล้องหอมมะลิแดง ยังไงก็หามาลองทานกันนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเองและคนที่คุณรักค่ะ

     และนี่ก็คืออีกหนึ่งประสบการณ์ของผู้ที่ทานข้าวกล้องเป็นประจำมาเป็นระยะเวลานาน จากคำตอบก็ทำให้รู้ว่าข้าวกล้องนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราจริงๆ สำหรับใครที่มีปัญหาสุขภาพ เป็นแล้วรักษาไม่หาย อาการเรื้อรัง ลองเปลี่ยนมาทานข้าวกล้องและเลือกทานอาหารให้ครบห้าหมู่ดูบ้าง บางทีอาจจะเป็นเพราะร่างกายไม่ได้รับสารอาหารและวิตามินที่เพียงพอก็ได้ ยังไงก็ขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง และอย่างลืมเลือกทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกายกันด้วยนะครับ


ขอบคุณภาพอาหารและข้อมูลจาก คุณวริยา สัมพันธ์แพ

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558

รู้หรือไม่ เราทานอาหารให้พลังงาน(เกิน)ความจำเป็น

ในแต่ละวันเราเลือกรับประทานอาหารหลากหลายชนิดแตกต่างกันไปตามความชอบและความต้องการของแต่ละคน อาหารเหล่านั้นได้ให้พลังงานที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่บางครั้งก็อาจจะเกินความจำเป็น เพราะเราอาจจะทานอาหารที่ให้พลังงานสูงเกินความต้องการของร่างกายโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นสภาวะโภชนาการเกิน พูดง่ายๆ ก็คืออ้วนนั่นเอง ซึ่งบทความนี้จะพูดถึงอาหารประเภทขนมทานเล่นที่มักจะให้พลังงานสูงและนิยมทานกันในเวลาทำกิจกรรมต่างๆ 

อาหารหรือขนมสำเร็จรูปที่มีขายตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อมักจะมีตารางข้อมูลโภชนาการอยู่ด้านหลังซอง ไม่ก็อยู่ข้างกล่องผลิตภัณฑ์ ในตารางคือข้อมูลโภชนาการและพลังงานทั้งหมดที่จะได้รับต่อหนึ่งหน่วยบริโภคเมื่อเราทานของในห่อนั้น ในขนมบางประเภทมักจะให้พลังงานสูงเพราะมีไขมันผสมอยู่จำนวนมาก แต่ในตารางจะบอกเพียงพลังงานที่ได้รับต่อหนึ่งหน่วยบริโภคเท่านั้น ตรงจุดนี้เองที่บางคนอ่านแล้วก็คิดว่าเป็นพลังงานของอาหารทั้งซองที่เราจะได้รับ แต่ที่จริงแล้วเป็นพลังงานเพียงแค่หนึ่งหน่วยบริโภค ซึ่งปริมาณอาหารทั้งหมดซองนั้นไม่ได้มีแค่หนึ่งหน่วยบริโภค แต่เรามักจะไม่สนใจอ่านว่าหนึ่งซองที่เราจะทานหมดมีกี่หน่วยบริโภค ถ้าหากเราทานขนมหมดซองภายในครั้งเดียวเราจะได้รับพลังงานเท่ากับจำนวนพลังงานของหนึ่งหน่วยบริโภค คูณกับจำนวนหน่วยบริโภคต่อซอง และนั่นอาจจะมากเกินไปสำหรับอาหารหนึ่งมื้อแบบปกติด้วยซ้ำ

ภาพตัวอย่าง


นี่คือภาพตัวอย่างของจำนวนแคลอรี่ในถั่วลิสงซองยี่ห้อหนึ่ง จากตารางจะบอกว่าพลังงานทั้งหมด 160 กิโลแคลอรี่ คนที่อ่านผ่านๆ แบบไม่ได้ใส่ใจก็จะเข้าใจว่าทานถั่วหมดซองนี้จะได้รับพลังงาน 160 กิโลแคลอรี่ แต่พลังงานดังกล่าวเป็นเพียงแค่หนึ่งหน่วยบริโภคเท่านั้น(หนึ่งหน่วยบริโภคของถั่วซองนี้เท่ากับ 30 กรัม แต่ถั่วทั้งซองมี 210 กรัม) ซึ่งจำนวนหน่วยบริโภคต่อซองของถั่วซองนี้เท่ากับ 7 เพราะฉะนั้นถ้าเราทานถั่วหมดในคราวเดียว เราจะได้รับพลังงานทั้งหมด 160x7 เท่ากับ 1,120 กิโลแคลอรี่ เป็นตัวเลขพลังงานที่มากประมาณอาหารตามสั่งสองมื้อเลยทีเดียว 

            พลังงานที่เราควรได้รับในแต่ละวันจะขึ้นอยู่กับ เพศ วัย และกิจกรรมในแต่ละวันของเรา ซึ่งก็จะมีความแตกต่างกันไป แต่โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2,000 กิโลแคลอรี่ ต่อวัน ลองนึกดูว่าแค่ทานถั่วซองเดียวเราได้รับพลังงานไปพันกว่าๆ กิโลแคลอรี่ บวกกับอาหารปกติที่เราทานกันในแต่ละมื้อด้วยแล้ว พลังงานที่ได้รับเกินความจำเป็นของวันนั้นอย่างแน่นอน

อ่านถึงตรงนี้บางคนอาจจะถามว่า แล้วใครจะไปทานถั่วทีเดียวหมดซอง ต้องบอกก่อนว่าอาหารทานเล่นประเภทขบเคี้ยวจะมีไขมันผสมอยู่มากและทานไม่อิ่มท้อง เรามักทานของพวกนี้เวลาดูหนัง ทำงาน หรือกิจกรรมที่ผ่อนคลายเพลิดเพลินโดยไม่รู้สึกอิ่ม ทำให้เราไม่ได้นึกถึงว่าทานไปมากเท่าไร พอมาดูอีกทีอาหารก็หมดซองซะแล้ว ที่กล่าวถึงไม่ใช่เพียงแค่ถั่วอย่างเดียว แต่หมายถึงอาหารทานเล่นประเภทอื่นๆ ที่นิยมทานกันในเวลาทำกิจกรรมต่างๆ ด้วย


เพราะฉะนั้นการเลือกซื้อขนมหรือของทานเล่นตามห้างหรือร้านสะดวกซื้อ ให้สังเกตจำนวนหนึ่งหน่วยบริโภคต่อซองและพลังงานที่จะได้รับด้วย ถ้าเป็นพลังงานที่มากเกินความจำเป็น เราอาจจะเลือกทานแต่น้อยและเก็บไว้ทานในวันอื่น หรือแบ่งคนอื่นทานด้วยก็ได้ เป็นวิธีลดพลังงานที่เกินความจำเป็นของร่างกายที่อาจจะส่งผลต่อสุขภาพของเราในระยะยาว และที่สำคัญเป็นการฝึกวินัยเรื่องของการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่พอดีต่อความต้องการ ไม่แน่หลังจากอ่านบทความนี้จบแล้ว เมื่อไปเลือกซื้อขนมและพลิกหลังซองดูคุณอาจจะวางเก็บกลับที่เดิมก็ได้

อย่าลืมดูจำนวนหน่วยบริโภคด้วย

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

รับสด.8 อย่างไร

สวัสดีครับเพื่อนๆ บล๊อคนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหนุ่มๆทั้งหลายที่เรียนจบรด.ปี3กันมาแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อ เราจะมาแชร์กันครับ


เริ่มแรกเลยหลังจากที่กลับจากค่ายเขาชนไก่แล้ว ก็ให้รอไปถึงปีหน้าประมาณเดือนมีนาคม อย่างผมไปค่ายเมื่อต้นปี 54 และเดือนมีนา 55 ถึงจะไปรับใบแสดงวิทยะฐานะที่ศูนย์ฝึกที่ตัวเองเรียน ผมเรียนศูนย์ใหญ่รังสิต ก็เข้าไปรับที่นั้น สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือบัตรประชาชนหรือบัตร รด. และที่สำคัญต้องแต่งกายสุภาพ กางเกงขายาวรองเท้าผ้าใบเท่านั้น ถ้าไม่แต่งแบบนี้พี่ทหารหน้าป้อมไล่กลับหมดครับ จะเสียเวลาเปล่าๆ พอได้ใบแสดงวิทยะฐานะมาทีนี้ก็ถึงขั้นตอนต่อไป








ใบที่ได้มานั้นมันก็คือใบที่ยืนยันว่าเรานั้นจบรด.ปี3แล้วจริงๆ มันจะเป็นกระดาษ1ใบใส่ในซอง พอได้มาเสร็จเราก็ต้องไปหาสัสดีอำเภอตามภูมิลำเนาของเราที่เคยขึ้นทะเบียนทหารกองเกินเอาไว้เมื่อตอนอายุ 17 ปีบริบูรณ์ เดินเข้าไปในที่ว่าการอำเภอแล้วถามประชาสัมพันธ์เลยครับว่า มารับสด.8 เดียวเขาจะบอกทางไปหาสัสดีเอง พอเข้าไปในห้องสัสดีก็ยื่นใบแสดงวิทยะฐานะให้ เดียวเขาจะจัดการเอาสด.8มาให้เอง และเสียค่าใช้จ่ายนิดหน่อย จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่ เตรียมเงินไปซัก 500 บาทก็พอ หลังจากนั้นเราจะได้รับหนังสือสด.8มา มันจะเป็นเล่มเขียวๆเล็กๆที่้เราเคยกรอกไว้ตอนนำปลดตอนปี 3 นั่นเอง 


สด.8


หนังสือเล่มนี้สำคัญมาก ได้มาแล้วเก็บรักษาเอาไว้ให้ดีๆห้ามหายเด็ดขาด เอาไว้ใช้สมัครงานและหลังจากนี้เราก็ไม่ต้องไปเกณฑ์ทหารแล้วเพราะว่าเราได้ปลดเป็นทหารกองหนุนเรียบร้อย เว้นแต่ว่าจะมีหมายเรียกส่งมาที่บ้านก็ให้ไปตามนั้น 


รายละเอียดของเราในเล่ม


หวังว่าเนื้อหาในนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ สวัสดีครับ







วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การเลี้ยงสุนัข

สวัสดีครับ วันนี้ผมมีเรื่องการเลี้ยงสุนัขมาฝาก สำหรับใครที่คิดจะอยากเลี้ยงสุนัข ต้องมาดูกันก่อนครับว่ามันมีอะไรบ้างที่เราควรจะรู้

      ก่อนที่เราจะเลี้ยงก็ต้องคิดก่อนว่าสามารถจะดูแลเขาได้มั้ย สามารถให้เวลาเขาได้รึป่าว เพราะสุนัขก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการความดูแลเอาใจใส่เหมือนเรานั้นแหละ นอกจากความพร้อมของตัวเองแล้วยังต้องดูเรื่องสถานที่หรือบ้านเรานั่นเองว่ามีพื้นที่ให้เขาวิ่งมั้ย และก็ยังสามารถบอกเราได้ด้วยว่าควรจะเลี้ยงหมาประเภทไหนเช่น  ถ้าบ้านมีสวนมีพื้นที่มากก็จะสามารถเลี้ยงได้หลากหลายกว่าอย่างสุนัขที่มีขนาดใหญ่และขนาดเล็ก แต่ถ้าบ้านมีพื้นที่น้อยเช่น ทาวน์เฮ้าส์ ก็จะมีข้อจำกัดในการเลี้ยงมากกว่า คือควรจะเลี้ยงสุนัขที่มีขนาดเล็ก หรือหากจะเลี้ยงขนาดใหญ่ก็ต้องมีการพาออกไปเดินเล่นบ้างแล้วเราก็ต้องศึกษานิสัยของสุนัขที่จะเลี้ยงก่อนว่าชอบอะไรมีนิสัยอย่างไร อาจจะหาข้อมูลหรือเอาหนังสือมาอ่าน ทำให้เราสามารถเลี้ยงสุนัขได้อย่างเข้าใจ


ต่อมาถ้าซื้อมาเลี้ยงแล้วอย่างแรกที่เราต้องรู้เลยก็คือการให้อาหาร การให้อาหารสุนัขก็ต้องให้อาหารสุนัขให้ถูกประเภทของเขาด้วย ถ้าเป็นลูกสุนัขก็ควรจะเป็นอาหารเม็ดสำหรับลูกสุนัขที่ขายตามห้างสรรพสินค้า หรือ นม แต่ถ้าลูกสุนัขยังเคี้ยวไม่ค่อยได้ส่วนใหญ่จะนำอาหารเม็ดไปผสมกับน้ำหรือนมเพื่อให้เคี้ยวง่ายขึ้น และก็ไม่ให้น้องหมากินแล้วติดคอด้วย ส่วนสุนัขโต ก็จะให้อาหารปกติ คือ อาหารเม็ด ข้าวคลุกเนื้อไก่หรือตับ ทั่วไป หรืออาจจะมากกว่านั้น แต่ที่สำคัญจะให้อะไรก็คำนึงถึงสุขภาพของเขาด้วย ส่วนใหญ่แล้วลูกสุนัขเราจะให้อาหารเป็นมื้อย่อยๆสี่มื้อ สุนัขใหญ่จะให้อาหารมื้อใหญ่หนึ่งมื้อต่อวัน และก็อาจจะจะมีขนมอร่อยๆให้เป็นรางวัลบ้างก็ตามสบายแต่!!ไม่ควรให้อาหารสุนัขชนิดต่อไปนี้ช็อกโกแลต  กระดูก ตับ(ในปริมาณมาก) ผลไม้และผักบางชนิด  เจ้าของเคยเลี้ยงสุนัขแล้วให้ตับเป็นอาหารพอนานไปสุนัขตัวนั้นก็เป็นเนื้องอก เพราะตับที่ให้นั้นไหม้ จนเกิดการสะสม ต้องรับการรักษาโดยการผ่าตัด เสียค่ารักษาครั้งนั้นไป 7,000บาท เพราะฉะนั้นเรื่องอาหารก็ควรใส่ใจให้มากๆเลยทีเดียว


เจ้านิกกี้กำลังคาบอาหาร

ต่อมาก็คือการขับถ่าย กินแล้วก็ต้องถ่าย จะทำยังไงให้สุนุขไม่ถ่ายเรี่ยราด ก็ต้องฝึกให้มันเคยชิน
ช่วงแรกๆเป็นช่วงที่ฝึกง่ายที่สุด โดยเฉพาะถ้าเอาลูกสุนัขมาเลี้ยง ควรจะฝึกนิสัยให้ขับถ่ายเป็นที่ อาจจะทำให้เคยชินกับสถานที่ทำธุระของเขา  ให้ถ่ายในจุดเดิมๆซ้ำๆแล้วเขาก็จะจำได้เอง แต่สุนัขที่มีอายุมากหน่อยก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ฝึกได้เหมือนกันแต่อาจจะนานกว่าลูกสุนัขนิดนึง

ที่สุนัขขับถ่ายปวดเมื่อไหร่ก็วิ่งมา


การอาบน้ำ

การอาบน้ำสุนัข ในบ้านเราอาจจะอาบได้ถี่กว่าต่างประเทศเพราะอากาศร้อน  อย่างน้อยอาทิตย์
ล่ะหนึ่งครั้ง หรือขึ้นอยู่กับสุนัขของเราว่ามันมอมแมมมากแค่ไหน แต่ห้ามอาบน้ำถี่เกินไป หลีกเลี่ยง
การอาบน้ำในตอนกลางคืนและในช่วงที่อากาศเย็น เพราะเดี๋ยวจะทำให้น้องหมาปอดบวมเอา
วิธีการอาบน้ำ ต้องระวังอย่าให้น้ำหรือแชมพูเข้าตาหรือเข้าหูน้องหมา ต้องให้สำลีอุดหูก่อนอาบ  การใช้แชมพูราดบนตัวสุนัขโดยตรงก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีนัก เพราะแชมพูแต่ละยี่ห้ออาจจะมีสารเคมีที่สามารถทำลายผิวได้  ควรจะนำแชมพูผสมน้ำก่อนอาบ  การล้างแชมพูออกให้หมดก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะผิวหนังน้องหมานั้นบอบบางโดยเฉพาะพันธุ์เล็กๆ และหลังจากอาบเสร็จก็ต้องรีบเช็ดตัวให้แห้ง เป่าขน แปรงขนให้สวยงาม

อุปกรณ์อาบน้ำ




หมาแห้วหลังอาบเสร็จใหม่ๆ




















หมาแห้วตัวแห้งแล้วยิ้มเลย
























การพาสุนัขไปหาหมอ



สุนัขก็มีโรคร้ายแรงเหมือนกับคนเรานี่แหละ มีทั้งรักษาได้และไม่ได้ บางโรคก็สามารถติดต่อไปถึงคน

ได้  จะดีกว่าถ้าสุนัขของเราจะไม่มีโรค การหาหมอไปฉีดวัคซีนตั้งแต่เล็กๆก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้

น้องหมามีสุขภาพดี คุณหมอก็จะมีบัตรตารางการฉีดวัคซีนและการนัดหมายให้ รวมทั้งตรวจสุขภาพ

เรื่อยๆ และถ้ามีอุบัติเหตุกับน้องหมาก็ควรจะส่งหมอทันทีเพราะสุนัขบอบบางกว่าคนมีความอดทนที่

น้อยกว่า ช้านิดเดียวก็อาจจะเสียเพื่อนที่น่ารักของเราไปก็ได้ เพราะฉะนั้นตั้งใจฟังคำสั่งของคุณหมอ

ด้วยนะ



ใบรับรองการฉีดวัคซีนสุนัข



อื่นๆ


สุนัขต้องการการออกกำลังอยู่เสมอ อย่างน้อยก็ควรพาออกไปเดินเล่นหรือวิ่งนอกบ้าน  เล่นโยน

ลูกบอล นอกจากจะให้มันออกกำลังกายแล้ว ยังเป็นการสร้างสุขภาพจิตที่ดีด้วย เพราะถ้าสุนัขโดน

กักขังนานๆหรือบ่อยๆมากๆจะทำให้มีนิสัยก้าวร้าว และ ดุร้ายตามที่เป็นข่าวกันบ่อยๆ

หากสุนัขทำผิดควรจะลงโทษพอสมควรอย่าหนักเกินไป แต่ก็อย่าเบาเกินไป ควรจะให้เขารับรู้ว่าสิ่งนั้น

เป็นสี่งที่ไม่ควร ถ้าแรงเกินไปก็อาจจะทำให้ก้าวร้าวได้เหมือนกัน การฝึกสุนัขให้ทำตามคำสั่ง จะฝึกได้ 
    
ง่ายในช่วงเล็กๆ เหมือนการฝึกให้ขับถ่ายคือทำซ้ำๆในเขาจำ และอย่าลืมตอบแทนโดยการให้ขนมเล็ก

น้อยเป็นรางวัลด้วย

นิกกี้แลบลิ้น
ตัวนี้ชื่อแห้ว อายุ7ขวบ


หวังว่าเพื่อนๆคงได้ความรู้ไม่มากก็น้อยจากที่นี่ ต้องขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจากคุณโม ที่มาแบ่งปันความรู้ให้  ขอให้มีความสุขกับการเลี้ยงสุนัขครับ สวัสดี:D




บ๊ายบายยย

:D The Moffats

สวัสดีครับ หายไปนานเลยสบายดีกันบ้างรึเปล่า :D วันนี้ผมได้ฟังเพลงเพลงนึงซึ่งผมเคยได้ยินตอนเด็กๆ และก็คิดว่ามันเพราะมาก ฟังสบายๆ เลยอยากนำมาแชร์กัน  เพลงนี้มีชื่อว่า
Miss you like crazy ของวง The moffats  เพลงนี้เป็นเพลงที่เก่ามาก ตั้งแต่ปี 1999 หลายๆคนคงอาจจะคุ้นๆหูอยู่้บ้าง และอาจเป็นเพลงโปรดของใครหลายๆคนก็ได้ครับ



เนื้อเพลงครับ


I used to call you my girl

I used to call you my friend

I used to call you the loveThe  love that I never had
When I think of you

I don’t know what to do

When will I see you again

I miss you like crazy
Even more than words can say
 I miss you like crazy 

Every minute of every day

Girl I’m so down

 when your love’s not around

I miss you ,miss you , miss you

I miss you like crazy

You are all that I want

You are all that I need
Can’ t you see how I feel
Can’t you see that my pain’s so real

When I think of you

I don’t know what to do

When will I see you again

{ chorus }


ประวัติ The moffatts




วงดนตรีที่ประกอบด้วย 4 หนุ่มจากเมืองวิคตอเรีย รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศคานาดาวงนี้เป็นพี่น้องกันทั้งหมด คนที่อายุมากที่สุดคือ สก็อต ส่วนอีก 3 คนเป็นแฝด สามคือ คลินท์ เดฟ และ บ็อบ ตามลำดับ Moffatts เป็นลูกชายของนักร้องอาชีพ    The Moffatts    มักถูกนำไปเปรียบเทียบกับ Hanson ซึ่งเป็นวงพี่น้องจากอเมริกา แต่สี่หนุ่มพี่น้องตระกูลม็อฟแฟ็ตทำเพลงมานานกว่าสามหนุ่มตระกูลแฮนสัน (เพราะเริ่มตั้งแต่สมาชิกวงอายุเพียง 3-4 ปี) ดังนั้น จึงมีกล่าวว่าวง Hanson ได้แรงบันดาลใจจาก The Moffatts         เส้นทางสู่การเป็นเป็นศิลปินของพี่น้องตระกูลม็อฟแฟ็ตเริ่มต้นขึ้นในปี 1990 ขณะนั้น สก็อตเพิ่งอายุได้ 7 ปี และแฝดสามอายุ6 ปี เริ่มแรก The Moffatts เป็นวงคันทรี่ที่แสดงสดตามเทศกาลต่าง ๆ ในท้องถิ่น ประสบการณ์ทางดนตรีอย่างแรกของ The Moffatts คือการบันทึกเสียงเพลงคันทรี่ชื่อเพลง Grandpa ของวินอนน่า จัดด์ (พี่สาวดาราดัง แอชลี่ย์ จัดด์) เพื่อมอบเป็นของขวัญวันคริสต์มาสให้ปู่ หลังจากนั้น เด็ก ๆ ทั้งสี่ก็เริ่มคิดจะเข้าวงการเพลง ต่อมาพวกเขาจึงขออนุญาตพ่อ (แฟรงค์ ม็อฟแฟ็ต)ให้พวกเขาไปเล่นดนตรีที่ท่าเรือเฟอร์รี่ที่วิคตอเรียเพื่อหาเงินไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์    ต่อมาพ่อกับแม่เลี้ยงก็พาสี่พี่น้องม็อฟแฟ็ตย้ายไปอยู่เมืองแนชวิลล์ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1994 และ The Moffattsก็ได้เซ็นสัญญากับสังกัดเอแอนด์เอ็ม นับเป็นศิลปินคันทรี่ที่เด็กที่สุดที่ได้เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ ต่อจากนั้น สก็อต, คลินต์, เดฟ และบ็อบจึงต้องเรียนกวดวิชาที่บ้านแทนการเข้าเรียนตามปกติ   1 ปีหลังจากเซ็นสัญญา The Moffatts ออกอัลบั้มชุดแรกซึ่ง อัลบั้มดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จนัก แต่ The Moffattsก็โด่งดังจากท่าเต้นหนอนคลาน      


ในปี 1998 The Moffatts นำซิงเกิ้ลเพลง I'll Be There ออกขายเป็นเพลงแรกซิงเกิ้ล  ซึ่งพี่น้องตระกูลเบอร์แมน ( Hanson) ร่วมแต่งและ ต่อมา The Moffatts ก็ออกซิงเกิ้ลที่ 2 คือ Miss You Like Crazy ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงในเอเชีย โดยขึ้นถึงอันดับ 1 ในหลายประเทศ    

  

หลังซิงเกิ้ลประสบความสำเร็จ The Moffatts ก็ออกอัลบั้มป๊อปชุดแรกในวันที่ 1 มิถุนายน 1999ชื่อว่า Chapter One: A New Beginning ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงเช่นเดียวกับซิงเกิ้ล ทำยอดขายได้กว่า 2 ล้านชุดทั่วโลก เพราะได้รับความนิยมจากแฟนเพลงทั้งในยุโรป ตะวันออกกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกาและคานาดาคว้ารางวัลแผ่นเสียงทองคำกับแผ่นเสียงทองคำขาวมาได้มากมาย ส่วนหนึ่งเพราะฝีมือการโปรดิวซ์ของเกลน บัลลาร์ด         


 ปี 2000 The Moffatts กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้มชื่อว่า Submodalities แนวเพลงในอัลบั้มนี้เปลี่ยนไปจาก Chapter One: A New Beginning พอสมควร มีเพียงเพลงช้าอย่าง Always In My Heart กับ Who Do You Loveเท่านั้นที่ยังคงแนวเพลงเดิมไว้ส่วนเพลงอื่นในชุดนี้อีก 10 เพลง (และเพลงที่ซ่อนไว้อีก 2 เพลง) กลับฟังดูเข้มขึ้นตามแนวที่ผสมผสานระหว่างอัลเทอร์เนทีฟ ป๊อป และร็อค ในฐานะศิลปิน "ตัวจริง" อย่าง The Moffatts ประสบความสำเร็จด้วยผลงานเพลง ไม่ใช่หน้าตาและเพลงรักหวาน ๆ อีกต่อไป






หวังว่าเพื่อนๆคงชอบกันนะครับ  วันนี้ต้องไปก่อนละคร๊าบบ บ๊ายบายย ^^